หลายคนออกอาการเซ็ง เมื่อความเร็วในการเล่นอินเทอร์เน็ตนั้นไม่ค่อยทันใจคนรุ่นใหม่วัยไอที ทั้งๆ ที่หลายคนลงทุนเปลี่ยนจากเดิมเคยใช้ Modem Dial-up 56k มาเป็น Hi-Speed Internet แล้ว ทั้งนี้สาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานี้ ทำให้ผู้ให้บริการหลายๆ เจ้า ปรับเปลี่ยนแบนด์วิดธ์กันไม่ทันต่อจำนวนผู้ใช้
อีกสิ่งหนึ่งคือให้ลองสำรวจถึงช่วงเวลาการใช้งานของคุณด้วยอินเทอร์เน็ตก็เปรียบเสมือนการจราจรในกรุงเทพมหานครของเรานี่แหละครับ มันมีช่วงเวลาเร่งด่วนอยู่เหมือนกัน นั้นก็คือช่วงเวลา 17.00-24.00 ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตกันมากที่สุด หากคุณต้องการดาวน์โหลดไฟล์อะไรละก็ ผมแนะในให้ดาวน์โหลดทิ้งไว้ในช่วงเวลาที่นอกเหนือจากเวลาดังกล่าว นอกจากความเร็วในการโหลดจะสูงกว่าปกติในช่วงนั้นโอกาสที่การเชื่อมต่อจะถูกตัดก็มีน้อยกว่าด้วย
อีกสิ่งหนึ่งคือเรื่องของสายโทรศัพท์ที่ใช้ ลองตรวจสอบดูครับว่ามีสัญญาณรบกวนมากหรือเปล่า? ทดสอบได้ง่ายๆ ด้วยการนำโทรศัพท์พื้นฐานมาต่อเข้ากับสายโทรศัพท์ที่เราใช้ในการต่ออินเทอร์เน็ต และลองยกหูโทรออกดู หากมีเสียงซ่าเข้ามาเป็นระยะๆ หรือมีเสียงแทรกระหว่างการสนทนานั้น นั่นแสดงว่าสายโทรศัพท์เส้นนั้นมีสัญญาณรบกวนอยู่
ทางแก้อาจจะต้องพึ่งเจ้าหน้าที่ของผู้ให้บริการโทรศัพท์ ให้เขามาตรวจสอบการเดินสายภายในที่พักของเราว่ามีส่วนใดช่วงไหนที่ชำรุดเสียหายหรือไม่? การทำให้สายโทรศัพท์มีสภาพที่ดีอยู่ตลอดเวลาก็จะช่วยให้การท่องเข้าไปยังโลกอินเทอร์เน็ตของคุณนั้นราบรื่นและรวดเร็วได้เหมือนกัน
สำหรับการแชร์อินเทอร์เน็ตนั้นทำได้กันอยู่หลายวิธี ไม่ว่าจะใช้สาย Cross ต่อ LAN หรือจะทำ Wireless LAN เองก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะเมื่อคุณซื้ออุปกรณ์สำหรับการแชร์อินเทอร์เน็ตเหล่านี้มา เขาก็จะมีตัวคู่มือสำหรับการติดตั้งอุปกรณ์และเซตอัพให้อยู่แล้ว สำหรับการแชร์ไฟล์นั้นในระบบปฏิบัติการอย่างวินโดวส์ เอ็กซ์พีเองก็มีตัวช่วยในการเซตอัพการแชร์เน็ตเวิร์กกันอยู่แล้ว เพียงแค่คุณเลือกไดรฟ์หรือโฟลเดอร์ที่ต้องการจะแชร์ แล้วคลิ้กขวาเลือก Sharing and Security และทำตามขั้นตอนที่วินโดวส์บอกไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง
ปัญหาหนึ่งที่พบกันบ่อยครั้งในการแชร์ไฟล์หรือการแชร์อินเทอร์เน็ต คือการที่เครื่องในวงเน็ตเวิร์กนั้นไม่สามารถมองเห็นไฟล์ของอีกเครื่องหนึ่งได้ รวมถึงการที่เมื่อทำการแชร์อินเทอร์เน็ตแล้วขึ้นคำว่า Connection has limited or no connectivity ในปัญหาของการที่เราไม่สามารถมองเห็นเครื่องอื่นในวงเน็ตเวิร์กนั้นได้ อันดับแรกให้ตรวจสอบชื่อของ Workgroup ว่าถูกต้องหรือไม่? รวมถึงการตรวจสอบสิทธิ์ของการเข้าถึงข้อมูลในเครื่องนั้นๆ ด้วยว่ามีการตั้งสิทธ์ไว้อย่างไร
สำหรับปัญหา Connection has limited or no connectivity นั้นพบได้บ่อยกันระบบเน็ตเวิร์กขนาดใหญ่สาเหตุใหญ่อย่างหนึ่งคือบางครั้งมีการเข้าใช้งานในเครื่องข่ายพร้อมๆ กันจำนวนมาก ทำให้ตัว DHCP Server นั้นๆ ไม่สามารถจ่ายหมายเลขไอพีได้อย่างเพียงพอ ทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้น รวมถึงปัญหาเกิดปัญหาหมายเลขไอพีค้าง คือได้มีเครื่องทำการเชื่อมต่อและถอนการเชื่อมต่อออกไปแล้ว แต่เซิร์ฟเวอร์กลับไม่ดึงหมายเลขไอพีกลับมา โดยยังคงค้างหมายเลขไอพีนั้นอยู่ ทำให้ไม่สามารถจ่ายหมายเลยไอพีให้กับเครื่องที่มาต่อใหม่ได้
ทางแก้ที่ดีที่สุดคือการรีสตาร์ตตัวเซิร์ฟเวอร์หรือเราเตอร์เสีย เพื่อให้มีการรีเชตหมายเลขไอพี ก็จะทำให้ตัวเซิร์ฟเวอร์สามารถจ่ายเลขไอพีได้ตรงตามจำนวนเครื่องที่เข้ามาเชื่อมต่อภายในเน็ตเวิร์กได้อีกครั้ง
สำหรับการแชร์อินเทอร์เน็ตแล้วไม่อยากให้ความเร็วตกลงไปมากนั้น มีข้อควรพึงปฏิบัติคือ ตรวจสอบไม่ให้มีการใช้งานโปรแกรมที่ดึงแบนด์วิดธ์ส่วนมากไป เช่น การดาวน์โหลด Bit Torrent การใช้โปรแกรมแชตบางประเภทอย่าง Skype หรือแม้แต่ Yahoo Messenger ที่ได้มีการเชื่อมต่อเว็บแคมเอาไว้ และที่สำคัญป้องกันไม่ให้มีการเล่นเกมออนไลน์ภายในวงเน็ตเวิร์กด้วย เพราะนอกจากจะสูญเสียแบนด์วิดธ์ส่วนใหญ่ไปแล้ว ยังจะเสียงานอีกด้วย
วิธีแก้เครื่องอืด สารพันปัญหาฮาร์ดแวร์
นอกจากปัญหาที่มักเกิดกับแรมและซีพียู อย่างที่ได้กล่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว ฮาร์ดแวร์ส่วนอื่นๆ ที่ประกอบขึ้นเป็นคอมพ์สักเครื่องนั้น ก็ใช่ว่าจะทำงานราบรื่นไม่เคยก่อปัญหาเสียเมื่อไหร่ อย่างการ์ดแสดงผลตัวเก่งสำหรับชาวเกมเมอร์นั้น ก็ชอบงอแงอยู่บ่อยครั้ง อาทิ การสามารถรันเกมบางเกมได้ ทางแก้ง่ายๆ คือพยายามอัพเดทไดรเวอร์กันอย่างสม่ำเสมอ (Nvidia เฉลี่ยออกได้เวอร์ทุกๆ 7-14 วัน ขณะที่ ATI เฉลี่ยการอัพเดตไดรเวอร์สำหรับการ์ดแสดงผลของพวกเขาโดยเฉลี่ยเดือนละหนึ่งครั้ง) ทั้งนี้รวมถึงฮาร์ดแวร์ทุกชิ้นในคอมพ์หมั่นคอยตรวจสอบดูว่ามีการอัพเดตไดรเวอร์จากผู้ผลิตหรือไม่? ถ้าหากมีก็อย่าลืมที่จะไปดาวน์โหลดมาติดตั้งด้วยนะครับ
นอกจากการ์ดแสดงผลแล้วตัวออฟติคอลไดรฟ์อย่าง CD, DVD หรือแม้แต่ CD Writer, DVD Writer เองก็มักพบปัญหาบ่อยครั้ง โดยเฉพาะเรื่องการไม่สนับสนุนแผ่นที่อ่านและเขียน บางครั้งเรานำแผ่น CD ใสเข้าไปตัวอย่างเช่น เจ้าไดรฟ์ตัวเก่งกลับงอแงไม่ยอมอ่านแผ่นซะอย่างนั้น คำแนะนำคือให้ลองทำความสะอาดหัวอ่านด้วยการหาซื้อชุดทำความสะอาดหัวข้อมาลองดูก่อน หากยังไม่สำเร็จ หรือจะเป็น DVD Writer ที่เพิ่งซื้อมากับไม่สามารถเขียนข้อมูลลงบนแผ่น DVD เปล่าบางยี่ห้อได้ คำแนะนำคือให้ลองทำการอัพเดตเฟิร์มแวร์ของตัวไดรฟ์เสียก่อนครับ
อีกหนึ่งปัญหาที่พบบ่อยๆ แต่กลับไม่ค่อยมีใครทราบวิธีแก้ไข คือเรื่องของถ่านเมนบอร์ดเสื่อม วิธีสังเกตคือเมื่อใดที่คุณเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมา แล้วนาฬิกาบอกเวลาในวินโดวส์นั้นไม่ตรงกับความเป็นจริง หรือผิดเพี้ยนไปมาก อาทิ เปิดใช้งานแต่วันที่กลับแจ้งวันเวลาเป็นของเดือนที่แล้ว หรือสัปดาห์ก่อน สันนิษฐานไว้ก่อนเลยนะครับว่าตัวแบตเตอรี่ของเมนบอร์ดนั่นน่าจะเริ่มเสื่อมแล้ว ทางออกก็เพียงแค่ซื้อถ่านมาเปลี่ยนครับ ก้อนหนึ่งเพียง 50-70 บาทเท่านั้นเอง
วิธีแก้เครื่องอืด ซีพียู มันสมองของคอมพิวเตอร์
ปัญหาที่พบบ่อยที่สุดเกี่ยวกับซีพียู ก็คือเรื่องของความร้อนในการทำงานที่มีความร้อนสูง บางครั้งสูงมากจนเครื่องแฮงก์ ซีพียูไหม้คาเคสไปเลยก็มีมาแล้ว โดยปกติเวลาเราซื้อซีพียูสักตัว ในกล่องหรือแพ็กเกจก็จะมีชุดระบายความร้อนแถมมาให้ด้วยอยู่แล้ว แต่ชุดระบายความร้อนนั้นก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพสูงอะไรมากมายนัก เป็นชุดระบายความร้อนที่สามารถรองรับการทำงานทั่วๆ ไป ในสภาพแวดล้อมปกติ แต่เมืองไทยนั้นเป็นเมืองร้อนครับ และหลายคนก็ไม่ได้ใช้งานคอมพิวเตอร์ภายในห้องแอร์ ทำให้โอกาสที่ซีพียูจะมีความร้อนสูงกว่าปกติ และทำให้ชุดระบายความร้อนที่แถมมานั้นไม่สามารถรองรับการระบายความร้อนได้เพียงพอจึงเป็นไปได้มาก
ทางออกของปัญหาคงไม่พ้นเรื่องของการหาซื้อชุดระบายความร้อนมาเปลี่ยนนั่นเอง โดยเฉพาะคนที่นิยมชมชอบในเรื่องของการโอเวอร์คล็อกซีพียูนั้น ยิ่งต้องมีความพิถีพิถันในการเลือกชุดระบายความร้อนมากเป็นพิเศษ
คำแนะนำสำหรับการเลือกซื้อชุดระบายความร้อนสำหรับซีพียูนั้นควรดูหน้าสัมผัสของชุดระบายความร้อนให้ดี ควรจะมีหน้าสัมผัสเป็นทองแดง เพราะทองแดงมีคุณสมบัติในการดูดซับและกระจายความร้อนได้ดีกว่าเหล็กหรืออะลูมิเนียม ที่นิยมใช้กับชุดระบายความร้อนทั่วๆ ไป
สำหรับใครที่เพิ่งซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่ ที่ใช้ซีพียูรุ่นใหม่ๆ ของ AMD ไม่ว่าจะเป็น Athlon64 หรือ Athlon X2 ควรติดตั้งไดร์เวอร์สำหรับซีพียูด้วย โดยดาวน์โหลดและตรวจสอบไดร์เวอร์ได้ที่ www.amd.com ทั้งนี้ก็จะทำให้ประสิทธิภาพและเสถียรภาพในการทำงานร่วมกับระบบปฎิบัตินั้นเป็นไปอย่างราบรื่น ไร้ซึ่งปัญหากวนใจนั่นเอง
เทคนิคการชาร์จแบตเตอรี่โน้ตบุ๊กให้คุ้มค่า
แบตเตอรี่โน้ตบุ๊คที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันจะเป็นชนิด Lithium Ion (Li-on) ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่สามารถชาร์จไฟได้ตลอดเวลา โดยไม่เกิดปัญหา Memory Effect (โน้ตบุ๊คบางยี่ห้ออาจจะเลือกใช้แบตเตอรี่ชนิด Lithium Polymer หรือตัวย่อ Li-Polymer ซึ่งมีคุณลักษณะใกล้เคียงกัน แต่น้ำหนักเบากว่า)
ปัญหา Memory Effect คือกรณีที่แบตเตอรี่ถูกใช้ไฟไม่หมดประจุแล้วมีการนำไปชาร์จไฟใหม่อยู่บ่อย ๆ ทำให้แบตเตอรี่ไม่สามารถจำค่าสูงสุดที่มันเคยเก็บไว้ได้ เป็นสาเหตุให้แบตเตอรี่ค่อย ๆ เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่ปัญหา Memory Effect จะมีผลกระทบต่อแบตเตอรี่ชนิด Ni-Cad แต่สำหรับ Li-on และ Li-Polymer จะไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด
แบตเตอรี่แบบ Li-on และ Li-Polymer จะนับการชาร์จเป็นรอบ (Cycle) โดยจะแบ่งแรงดันออกเป็น 3 ระดับคือ 1C หมายถึง การชาร์จ ณ ระดับพลังงานแบตเตอรี่มากกว่า 65-70%, 2C หมายถึง การชาร์จ ณ ระดับพลังงานแบตเตอรี่ 35-60% และ3C หมายถึงการชาร์จ ณ ระดับพลังงานต่ำกว่า 30%
เทคนิคการชาร์จแบตเตอรี่ให้คุ้มค่า
1.จะชาร์จเมื่อไหร่?
ปัญหา Memory Effect คือกรณีที่แบตเตอรี่ถูกใช้ไฟไม่หมดประจุแล้วมีการนำไปชาร์จไฟใหม่อยู่บ่อย ๆ ทำให้แบตเตอรี่ไม่สามารถจำค่าสูงสุดที่มันเคยเก็บไว้ได้ เป็นสาเหตุให้แบตเตอรี่ค่อย ๆ เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่ปัญหา Memory Effect จะมีผลกระทบต่อแบตเตอรี่ชนิด Ni-Cad แต่สำหรับ Li-on และ Li-Polymer จะไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด
แบตเตอรี่แบบ Li-on และ Li-Polymer จะนับการชาร์จเป็นรอบ (Cycle) โดยจะแบ่งแรงดันออกเป็น 3 ระดับคือ 1C หมายถึง การชาร์จ ณ ระดับพลังงานแบตเตอรี่มากกว่า 65-70%, 2C หมายถึง การชาร์จ ณ ระดับพลังงานแบตเตอรี่ 35-60% และ3C หมายถึงการชาร์จ ณ ระดับพลังงานต่ำกว่า 30%
เทคนิคการชาร์จแบตเตอรี่ให้คุ้มค่า
1.จะชาร์จเมื่อไหร่?
จากกราฟแกนแนวตั้งเป็นความจุ และแกนแนวนอนเป็นจำนวนรอบ (Cycle) ของการชาร์จ หากชาร์จแบตเตอรี่ที่ระดับ 3C จะสามารถชาร์จได้ประมาณ 300 รอบ (Cycle) ในขณะที่การชาร์จแบตเตอรี่ Li-on และ Li-Polymer ที่ระดับ 1C และ 2C จะสามารถชาร์จได้มากกว่า 400-500 รอบ (Cycle) ซึ่งสรุปได้ว่าการชาร์จที่ระดับ 1C จะทำให้พลังงานของแบตเตอรี่นั้นมีการสูญเสียพลังงานน้อยที่สุด ซึ่งหมายถึงอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ที่มากขึ้นนั่นเอง (ในความเป็นจริง การชาร์จในระดับ 2C ดูจะสมเหตุสมผลมากกว่าในระดับ 1C แต่อย่างไรก็ตามควรหลีกเลี่ยงการชาร์จในระดับ 3C เพราะจะทำให้อายุการใช้งานการแบตเตอรี่ลดลงอย่างมาก)
คำแนะนำ: ควรชาร์จแบตเตอรี่ ณ ระดับพลังงาน ที่ 35-60 %
2. จะถอดหรือจะใส่แบตฯ อย่างไรดี?
มีคำแนะนำที่ว่า “หากจะไม่ได้มีการใช้โน้ตบุ๊คเป็นระยะเวลานานให้ทำการถอดแบตเตอรี่ออกจากเครื่อง” แต่ก่อนที่จะทำการถอดแบตเตอรี่ออกมาเก็บนั้นอยากจะให้ลองดูตารางด้านบนกันสักนิด ตารางนี้แสดงถึงการสูญเสียพลังงงานของแบตเตอรี่ในระดับอุณหภูมิต่างๆกัน
โดยจากตารางจะเห็นได้ว่าหากทำการเก็บแบตเตอรี่ที่อุณหภูมิปกติ (25 องศาเซลเซียส) แบตเตอรี่ที่มีความจุ 40% จะคลายประจุออกมา 4% หลังจากผ่านไป 1 ปี และยิ่งอุณหภูมิการเก็บสูงขึ้นอัตราการคลายประจุก็มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
ในขณะที่แบตเตอรี่ที่มีความจุเต็ม 100% จะคลายประจุออกมาถึง 20% หลังจากผ่านไป 1 ปี และหากอุณหภูมิ การเก็บสูงขึ้นอัตราการคลายประจุก็จะมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน จึงสรุปได้ว่าหากต้องการถอดและเก็บแบตเตอรี่นั้นควรให้แบตเตอรี่มีความจุ 40% และควรเก็บในสถานที่ที่มีอากาศเย็น และไม่มีความชื้น (ตัวเลข 40% นี้เป็นค่าที่เหมาะสมที่สุดจากการทดลองในห้องแล็ป) ในทางกลับกัน กรณีที่มีการใช้งานโน้ตบุ๊ค การชาร์จแบตเตอรี่ทุกครั้งควรชาร์จให้เต็มความจุของแบตเตอรี่
3. ถ้าเสียบปลั๊กใช้งานควรจะใส่หรือจะถอดแบตฯ ดี?
ภายในแบตเตอรี่โน้ตบุ๊คนั้นจะมีวงจรไว้สำหรับควบคุมการชาร์จ โดยลักษณะของวงจรชาร์จแบตเตอรี่ที่พบในโน้ตบุ๊คจะมีอยู่ 2 ลักษณะคือ แบบที่ 1 ทำการชาร์จตลอดเวลาแม้ระดับความจุของแบตเตอรี่จะสูงกว่า 90% วงจรแบบนี้จะพบได้ในโน้ตบุ๊ค รุ่นเก่าๆ ส่วนแบบที่ 2 วงจรชาร์จแบตเตอรี่จะทำงานเมื่อระดับความจุของแบตเตอรี่ต่ำกว่า 90-95% (แล้วแต่ยี่ห้อ) โดยโน้ตบุ๊คส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้นจะใช้วงจรแบบที่ 2 นี้ เกือบทั้งหมด
ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากวงจรการชาร์จทั้ง 2 แบบ แล้วสรุปได้ว่า หาดโน้ตบุ๊คของคุณเป็นรุ่นที่ใช้แบบเตอรี่ที่มีวงจรการชาร์จแบบที่ 2 แล้ว การเสียบปลั๊กเล่นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องถอดแบตออกและจะไม่มีผลกระทบใดๆต่อแบตเตอรี่เพราะวงจรการชาร์จของแบตเตอรี่ยังไม่ได้ทำงาน (ในกรณีที่แบตเตอรี่มีความจุมากกว่า 90-95%) แต่หากแบตเตอรี่มีความจุไม่ถึงระดับ 90-95% แนะนำให้ทำการใช้งานไปจนกว่าความจุของแบตเตอรี่จะลดลงถึงระดับ 2C หรือ 1C แล้วจึงค่อยเสียบปลั๊ก ในกรณีที่โน้ตบุ๊คของท่านเป็นรุ่นที่ใช้แบตเตอรี่ที่มีวงจรการชาร์จแบบที่ 1 (ไม่ตัดการทำงาน) ลองพิจารณาถึงข้อดี-ข้อเสียต่างๆ ดังต่อไปนี้
อย่างไรก็ตามด้วยคุณลักษณะของแบตเตอรี่แบบ Li-on นั้นจะมีการคลายประจุออกมาอยู่แล้วในอัตรา 10 % ต่อ 1 เดือน (ที่อุณหภูมิการใช้งาน) และอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ของโน้ตบุ๊คก็จะไม่เกิน 2-3 ปี แต่หากมีการใช้งานอย่างถูกต้องเหมาะสมก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ได้ยาวนานขึ้น
มีปัณหาเกี่ยวกับคอมพิเตอร์โทรมาปรึกษาใด้ครับ
144เกมส์&คอม รับซ่อมคอมพิเตอร์ ประกอบ ลงโปรแกรม เดินสายแลน ภูเก็ต
โทร 084-3047731
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น